Thailand: Red Shirt protests -- what has been achieved? คนเสื้อแดงได้อะไรจากการ ต่อสู้??

‘The Red Shirts have shown that they are a genuine mass movement for democracy, made up of ordinary working people in rural and urban areas.'

By Giles Ji Ungpakorn

May 11, 2010 – Pro-democracy Red Shirt protests in Bangkok, which started in mid-March, are about to be wound up. Leaders [of the United Front for Democracy Against Dictatorship, UDD] have accepted a compromise with the military-backed government of Abhisit Vejjajiva. Elections will not be held immediately, but on November 14. Earlier Abihist had indicated an election in February 2011 at the earliest.

It is unclear whether the blanket censorship of the Thai media will be lifted. One clear demand that the Red Shirt leaders are expecting to be met is that the Red Shirt's TV channel (People Channel TV) will be allowed back on air. Whether websites like Prachatai will be unblocked is also unclear. Another demand is that the law be applied equally to all.

The government claims that the prime minister and deputy prime minister will "surrender" to the police in relation to charges of murdering citizens on April 10, 2010. But it is unclear whether any real charges will be filed against them.

Nothing has been said about the political prisoners, both those in jail for lese majeste and those in jail for blocking roads during the recent protest.

What have the Red Shirts achieved?

1. The Red Shirts have shown that they are a genuine mass movement for democracy, made up of ordinary working people in rural and urban areas. They have shown that the crisis is about class. They have shown that the Red Shirts are a grassroots movement that will not disappear easily.

2. The Red Shirts have exposed the real and bloody nature of the military-backed government, which can only stay in power through repression and blanket censorship.

3. The struggle of the Red Shirts has turned ordinary people into leaders; into internet and media experts who can get around censorship in order to spread their message. In the process of struggle they have thrown off the myths and mind fetters about the monarchy. As a result, the monarchy appears to be in terminal crisis. If this is really so, it will seriously weaken the power of the army.

4. The Red Shirts have stood up to the army and shown that it is not a simple matter to just shoot down pro-democracy demonstrators. In the process they have caused splits in the police force and lower ranks of the army.

5. They have forced the government to speed up the holding of elections.

But this is a compromise. It is not the end of the shady dictatorship of the army and the elites which stand behind the present government. It will disappoint many.

However, it is difficult to see how the Red Shirts could have fought on at this present stage without new strategies.

The important question is how the Red Shirts will organise and fight in the future. If the Red Shirts are to strengthen themselves they have to organise among the trade unions in order to win strike action. They have to make serious efforts to build networks among army recruits and they have to develop a clear political platform for the [Red Shirt's] Puea Thai party in order to win the hearts and minds of ordinary workers and farmers. They should advocate a welfare state, improved benefits for workers, a real peace process for the south, and genuine reform of the media and the justice system. They must stand against censorship and repressive laws. No one can just leave these matters in the hands of the leadership. Red Shirt local groups need to elect representatives who can be part of a progressive grassroots leadership to lead the struggle forward. Women should make up a significant proportion of this leadership.

Only these things would make a difference between a shoddy compromise and a real step forward to freedom, democracy and social justice.

[Giles Ji Ungpakorn is a Thai socialist currently in exile in Britain. He is a member of Left Turn Thailand and maintains a blog at http://wdpress.blog.co.uk/.]

คนเสื้อแดงได้อะไรจากการต่อสู้??

ใจ อึ๊งภากรณ์

จุดจบของการต่อสู้รอบนี้ ซึ่งเริ่มในเดือนมีนาคม เป็นการประนีประนอมระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงกับรัฐบาลของอำมาตย์ หลายคนคงจะผิดหวัง แต่เราควรใช้เวลาพิจารณาสถานการณ์และกำหนดแนวทางในการต่อสู้ต่อไป เรื่องมันยังไม่จบจนกว่าอำมาตย์จะถูกโค่นล้ม ดังนั้นอย่าไปเสียเวลากับอาการ “อกหัก” อย่าไปท้อ อย่าไปเดินออกจากเวทีการต่อสู้ด้วยความน้อยใจ

ขอย้ำในสิ่งที่เขียนก่อนหน้านี้.... จุดเด่นเราคืออะไร? จุดเด่นของการต่อสู้ของคนเสื้อแดงตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปมีหลายข้อคือ

·       คนเสื้อแดงได้พิสูจน์ว่าเป็นขบวนการของประชาชนชั้นล่างในการต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อเรื่องปากท้องและเพื่อประชาธิปไตยพร้อมกัน ซึ่งรวมคนชนบทและคนในกรุงเทพฯ จำนวนมาก มากจนเป็นประวัติศาสตร์ ยิ่งใหญ่กว่าการต่อสู้ ๑๔ ตุลา การต่อสู้ของ พ.ค.ท. และการต่อสู้ในเดือนพฤษภาปี ๓๕

·       การต่อสู้ที่ยาวนาน ท่ามกลางกระสุนปืน หมอกควัน และข่าวที่ถูกบิดเบือนปิดกั้นโดยรัฐบาล เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประชาชนจำนวนมาก เขาได้เรียนรู้วิธีจัดตั้งตนเอง วิธีเข้าถึงข้อมูล และวิธีกระจายข่าว ยิ่งกว่านั้นการต่อสู้ทำให้เขากลายเป็นผู้นำเอง มีความมั่นใจในการท้าทายอำนาจอำมาตย์ที่กดทับชีวิตประชาชนมานาน เราอาจพูดได้ว่าเกือบจะไม่มีใครในขบวนการเสื้อแดงที่ยังคิดแบบเดิม ไม่มีใครเป็นทาสทางความคิดของลัทธิอำมาตย์

·       การต่อสู้ที่เข้มแข็งของคนเสื้อแดงนี้ บังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับล่าง เช่นตำรวจและทหารเกณฑ์ เริ่มคิดหนัก หลายคนไม่ยอมทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และอาจมีหลายคนที่คิดกบฏ แต่ยังไม่ทำอะไรให้เห็นชัด นี่คืออาการของวิกฤตในการปกครองของรัฐอำมาตย์ เราอาจพูดได้ว่ารัฐอำมาตย์อยู่ได้ก็ด้วยการปราบปราม ขู่เขน และการปิดกั้นข้อมูลเท่านั้น ไม่มีความชอบธรรมเลยในสายตาประชาชนนับล้าน และในสายตาสื่อต่างประเทศและชาวโลกที่สนใจประเทศไทย

·       เราบังคับให้รัฐบาลอำมาตย์เลื่อนการเลือกตั้งมาข้างหน้า 3 เดือน

ขอเพิ่มเติมตรงนี้ให้ชัดเจนมากขึ้นคือ ท่ามกลางการต่อสู้ คนเสื้อแดงส่วนใหญ่หมดศรัทธาในสถาบันกษัตริย์แล้ว และสาเหตุมาจากพฤติกรรมของฝ่ายอำมาตย์เองตั้งแต่การผูกโบสีเหลืองในรัฐประหาร ๑๙ กันยา เราต้องเลี้ยงกระแสนี้ให้เติบโตมั่นคงขึ้น เพราะจะมีผลมหาศาลในการทำให้กองทัพหมดความชอบธรรมในการแทรกแซงการเมือง และเปิดทางให้มีการสร้างประชาธิปไตยแท้ได้

ข้อที่น่ากังวล

การประนีประนอมครั้งนี้ทิ้งปัญหาสำคัญๆ ไว้มากมาย เพราะไม่มีการแก้ไขการเซ็นเซอร์สื่อและอินเตอร์เน็ต ไม่มีคำมั่นสัญญาว่าจะเปิดสื่ออย่างเช่น ประชาไท หรือวิทยุชุมชน ไม่มีการพูดถึงนักโทษทางการเมืองในคดีหมิ่นเดชานุภาพฯ และคดีที่มาจากการปิดถนนท่ามกลางการประท้วง คนเหล่านี้ยังติดคุกอยู่ ในประเด็นเหล่านี้พวกเราชาวเสื้อแดงคงต้องสู้ต่อไปในรูปแบบกรณีเฉพาะ ตามจุดและชุมชนต่างๆ ไม่ใช่ยอมจำนนหรือรอการเลือกตั้ง

จุดอ่อนที่ทำให้คนเสื้อแดงชุมนุมต่อไม่ได้

เราต้องดูจุดอ่อนของขบวนการ เพราะจุดอ่อนเหล่านี้ทำให้มันยากที่จะสู้ต่อไปโดยไม่มียุทธวิธีใหม่ๆ ซึ่งเป็นผลทำให้มีการประนีประนอมในที่สุด ดังนั้นเพื่อให้ฝ่ายเราไปปรับแก้และพัฒนาการต่อสู้ในอนาคต เราต้องคิดหนักตรงนี้ เพราะการสู้กับอำมาตย์จะไม่จบง่ายๆ

·       ขบวนการเสื้อแดงยังไม่จัดตั้งในหมู่คนงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างในโรงงาน หรือพนักงานในออฟฟิส ฯลฯ เพราะถ้าลูกจ้างที่เป็นเสื้อแดงจัดตั้งกันในสหภาพแรงงาน เราสามารถใช้พลังการนัดหยุดงานมากดดันอำมาตย์ และพลังนี้มีประสิทธิภาพสูง ปราบด้วยกองกำลังได้ยากอีกด้วย มันเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ

·       การนำในขบวนการเสื้อแดงควรขยายให้สะท้อนความยิ่งใหญ่ของขบวนการ กลุ่มเสื้อแดงจากชุมชนต่างๆ ที่เราเห็นชัดในรูปแบบซุ้มหรือกลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกัน ควรเลือกผู้แทนของตนเองหนึ่งคน และให้ผู้แทนเหล่านี้ประชุมหารือกับแกนนำตลอดเวลา เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างคนเสื้อแดงรากหญ้ากับแกนนำอย่างเป็นระบบ การตัดสินใจอะไรก็ควรตัดสินใจร่วมกันแบบนี้ ซึ่งจะทำให้ขบวนการเสื้อแดงเข้มแข็งยิ่งขึ้น แกนนำจะมีโอกาสผิดพลาดน้อยลง และรากหญ้าจะร่วมรับผิดชอบในการนำด้วย โดยที่จะสร้างความสามัคคีมากขึ้น นอกจากนี้แกนนำเสื้อแดงในทุกระดับควรมีผู้หญิง เพื่อสะท้อนความจริงเกี่ยวกับขบวนการของเรา

·       คนเสื้อแดงต้องทำการบ้านหนักขึ้นในการต่อสายกับทหารเกณฑ์ เพื่อขยายการจัดตั้งของเสื้อแดงเข้าไปในกองทัพ ทหารแตงโมที่จะน่าไว้ใจและมีประสิทธิภาพสูงสุดคือทหารเกณฑ์ที่เป็นเสื้อแดง และในยามวิกฤตเราจะได้สนับสนุนให้เขาฝืนคำสั่งของพวกนายพลที่ต้องการฆ่าประชาชน

·       เมื่อมีการยุบสภาและเลือกตั้ง พรรคของคนเสื้อแดงต้อง “คิดใหม่ทำใหม่” รอบสอง เพื่อครองใจประชาชนต่อไป ควรมีการเสนอนโยบายรัฐสวัสดิการ นโยบายที่จะช่วยคนงานและเสริมค่าจ้าง นโยบายสร้างสันติภาพในภาคใต้ และนโยบายเพื่อปฏิรูประบบยุติธรรมและระบบสื่อมวลชน ฯลฯ เราต้องเป็นพรรคของไพร่และพรรคของเสรีภาพและต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดง ทั้งในระดับชาติ และระดับชุมชน มีบทบาทหลักในพรรค ไม่ใช่ปล่อยให้นักการเมืองเก่าๆ ที่ไม่ทำอะไร มาหากินกับการต่อสู้ของประชาชน

เรามีภารกิจในการปลดแอกพลเมืองประเทศนี้จากอำนาจเผด็จการของอำมาตย์ ถ้าเราไม่นำ “กำไร” ที่เราได้มาจากการต่อสู้ในสองเดือนที่ผ่านมา มาเสริมและพัฒนาแนวทางของเราให้ยกระดับสูงขึ้น การเสียสละของคนเสื้อแดงจะละลายไปกับน้ำ เราต้องไม่พลาดตรงนี้  แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมืองไทยจะกลับไปเป็นแบบเก่าไม่ได้อีกแล้ว

Permalink

http://www.achrweb.org/press/2010/THAI02-2010.html

Thai General shot at, many injured in the Thai Army firing on the Red Shirts

May 13, 2010

Prime Minister Abhisit warned of international criminal action

*New Delhi:* The Asian Centre for Human Rights (ACHR) in its Press Release stated that General Khattiya Sawatdiphol, 59, better known as Seh Daeng has been shot at and seriously injured along with two others in the firing by the Army on the Red Shirts demonstrators today evening. The 11th Regiment of the Thai Army launched “Operation Ratchaprasong” at 6 pm Bangkok Time to disperse the Red Shirts protestors who have been camping at Ratchaprasong, Bangkok since 14 March 2010.

General Khattiya Sawatdiphol was shot at while giving an interview to the reporter of The International Herald Tribune.

“On 30th April 2010, I had personally visited the site of the demonstration. It is clear that the use of force including fire-arms will lead to murder of many civilians.” - Stated Mr Suhas Chakma, Director of Asian Centre for Human Rights.

“It is extremely unfortunate that the talks between the government and the United Front for Democracy Against Dictatorship (UDD) collapsed on the issue of justice i.e. as to who shall be held responsible for the killings as a result of firing by the security forces on 10th April 2010.” – further stated Mr Chakma.

On 30 April 2010, the ACHR recommended that a joint parliamentary investigation consisting of the opposition Members of Parliament and ruling party would be best way to assuage the sentiments of the victims and to provide justice.

ACHR warned that /Prime Minister Abhisit Vejjajiva / <http://www.achrweb.org/press/2010/Letter2Abhisit.pdf>can be held individually responsible as provided under the Article 25(3)(a) of the Rome Statute of International Criminal Court for intentionally directed the attacks against the civilian demonstrators who are not taking part in any hostility as provided under Article 8(2)(e)(i) of the Rome Statute.

The Asian Centre for Human Rights appealed to the Prime Minister to immediately withdraw the troops, return to talks with the UDD and among others, address the issue of justice for the killings on 10th April 2010.

*[Ends]*